ยารักษา COVID-19 แยกตามกลุ่มสี และอาการที่พบในผู้ป่วย
สำหรับ ยารักษา COVID-19 ในปัจจุบันเป็นยาที่ใช้รักษาโรคอื่นเพราะยังไม่มียาต้านไวรัส ที่จำเพาะกับ เชื้อไวรัส COVID-19 อย่างไรก็ตามการนำยาที่ใช้รักษาโรคอื่น ที่มีหลักฐาน ทางการแพทย์ว่า มีประโยชน์กับการรักษาผู้ป่วย COVID-19 ก็ได้ผลเป็นน่าพอใจของทุกๆ ฝ่ายเป็นอย่างดี โดยยาที่ใช้ ในการรักษาผู้ป่วย COVID-19 จะแบ่งออกเป็น
ยารักษา COVID-19 กลุ่มสีเขียว
ข้อควรรู้เกี่ยวกับยาฟ้าทะลายโจร
- ไม่ควรกินร่วมกับยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยาลดความดัน แอสไพริน โคลพิโดเกรล (ยาต้านเกล็ดเลือด) และยาวาร์ฟาริน
- ห้ามใช้กับผู้ที่ตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร
- หากแพ้ให้หยุดกินยาทันที หากทานไปประมาณ 3 วันอาการไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์
- หากซื้อยาฟ้าทะลายโจรทานเอง ควรพิจารณายี่ห้อที่ผ่าน อย.
- ยาฟ้าทะลายโจร ไม่สามารถป้องกันไวรัสเข้าสู่เซลล์ได้ แต่ช่วยบรรเทาอาการที่ไม่รุนแรง ใช่ในผู้ที่มีความเสี่ยงต่ำต่อการเกิดโรครุนแรง เช่น คัดจมูก มีน้ำมูก ลดโอกาสที่โรคจะลุกลามลงปอด ดังนั้นจึงจำเป็นต้องฉีดวัคซีน และปฎิบัติตัวตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขด้วยเพื่อป้องกันการติดเชื้ออย่างเคร่งครัด
กลุ่มสีเขียว หรือผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย
เมื่อเข้าสู่ระบบ Home Isolation หรือ Hospitel ยารักษา COVID-19 ในกลุ่มสีนี้เป็นยาที่ใช้เพื่อรักษาอาการเบื้องต้น ได้แก่
ฟ้าทะลายโจร
สรรพคุณของยาฟ้าทะลายโจร :
- ลดการอักเสบ ไข้ ไอ เจ็บคอ
- ปรับภูมิคุ้มกัน
- ยับยั้งการเพิ่มจำนวนไวรัส
ผลข้างเคียงของยาฟ้าทะลายโจร : อาจมีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย แขนขาอ่อนแรง
วิธีรับประทานยาฟ้าทะลายโจร
- วันละ 180 กรัมต่อวัน แบ่ง 3 มื้อ มื้อละ 60 มิลลิกรัม (จำนวนแคปซูลขึ้นอยู่กับแต่ละยี่ห้อ)
- ทานติดต่อกันไม่เกิน 5 วัน หากอาการไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์
ยารักษา COVID-19 กลุ่มสีเหลือง
ผู้ป่วยกลุ่มสีเหลือง คือกลุ่มที่เริ่มมีความเสี่ยงของโรครุนแรง ผู้ป่วย COVID-19 รักษาด้วยยา ฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) มีทั้งรูปแบบที่เป็นเม็ดและเป็นน้ำ แต่ว่าไม่ได้จ่ายยาฟาวิพิราเวียร์สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ทุกคน จะจ่ายให้สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการ ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ เป็นยาที่ต้องกินภายใต้การควบคุมของแพทย์เท่านั้น**
กลุ่มผู้ป่วยที่จะได้รับยาฟาวิพิราเวียร์
- ผู้ป่วยกลุ่มสีเหลือง ที่เริ่มมีอาการของโรค เช่น ไข้สูง
- ผู้ป่วยที่มีอาการโรคร่วม หรือ กลุ่ม 7 โรคเรื้อรัง เช่น ความดัน เบาหวาน โรคอ้วน โรคไต โรคหัวใจ-ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือตามดุลยพินิจของแพทย์
- ผู้ที่เริ่มมีภาวะปอดอักเสบ
ไม่แนะนำให้ใช้กับผู้ที่ยังไม่มีอาการ หรือใช้เพื่อป้องกันโรค
สรรพคุณของยาฟาวิพิราเวียร์
- ขึ้นทะเบียนเป็นยาสำหรับรักษาไข้หวัดใหญ่ แต่เป็นยาที่ออกฤทธิ์กว้าง จึงใช้ได้กับโรคติดต่ออื่น ๆ
- ขัดขวางการสร้าง RNA ของไวรัสชนิดต่าง ๆ ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัส
- ทำให้เชื้อไวรัสกลายพันธุ์จนภูมิต้านทานของร่างกาย สามารถเข้าไปกำจัดไวรัสได้หมด
ผลข้างเคียงของยาฟาวิพิราเวียร์ ใช้กรณีมีข้อบ่งชี้เท่านั้น
- อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย
- ตา เล็บหรือผิวหนังเปลี่ยนสี เป็นสีม่วงอมน้ำเงิน และพบตาเรืองแสงได้ในผู้ป่วยบางราย เนื่องจากเป็นยาที่มีคุณสมบัตรเรืองแสง แต่ไม่เป็นอันตราย และไม่กระทบต่อการมองเห็น อาการนี้จะสามารถหายได้เอง เมื่อหยุดยาประมาณ 14 วัน
- ตับทำงานหนัก ส่งผลให้ตับอักเสบได้
- การใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ในหญิงตั้งครรภ์ อาจเสี่ยงเกิดผลกระทบต่อทารกในครรภ์
--- หากใช้เกินความจำเป็น อาจส่งผลให้เกิดการดื้อยาของเชื้อไวรัส และทำให้ประสิทธิภาพของยาลดลง ---
วิธีรับประทานยาฟาวิพิราเวียร์ **ขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ ใช้ตามแพทย์สั่งเท่านั้น**
- ขนาดยาที่ใช้สำหรับผู้ใหญ่
ทานครั้งละ 9 เม็ด ทุก ๆ 12 ชั่วโมงในวันแรก
วันต่อมาลดเหลือครั้งละ 4 เม็ด ทุก ๆ 12 ชั่วโมง - ขนาดยาสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักมากกว่า 90 กิโลกรัม
ทานครั้งละ 12 เม็ด ทุก ๆ 12 ชั่วโมงในวันแรก
วันต่อมาลดเหลือครั้งละ 5 เม็ด ทุก ๆ 12 ชั่วโมง - ขนาดยาสำหรับผู้ป่วยเด็ก
ต้องมีการคำนวณขนาดยาตามน้ำหนักตัว โดยผู้ป่วยจะต้องรับประทานยาตามวันและเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัด ทานติดต่อกัน 5-10 วัน ขึ้นอยู่กับอาการของโรค และดุลยพินิจของแพทย์
ยาฟาวิพิราเวียร์แบบน้ำ สำหรับเด็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่กลืนยายาก
ข้อควรรู้เกี่ยวกับยาฟาวิพิราเวียร์
- ผู้ที่มีภาวะซีด เป็นโรคไต โรคตับ อาจพบปัญหาเมื่อกินยาฟาวิพิราเวียร์
- การใช้ยาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์
ยารักษา COVID-19 กลุ่มสีแดง
วิธีใช้ยาเรมเดซิเวียร์ (ยาฉีด)
- วันแรก ปริมาณฉีด 5 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว ผ่านหลอดเลือดดำ
- วันต่อมา ปริมาณฉีด 2.5 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว ผ่านหลอดเลือดดำ
**ใช้ตามแพทย์สั่งเท่านั้น**
ข้อควรรู้เกี่ยวกับยาเรเดมซิเวียร์
- ให้เลือกใช้ฟาวิพิราเวียร์หรือเรมเดซิเวียร์ อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ใช้ร่วมกัน เนื่องจากเป็นยาที่มีกลไลออกฤทธิ์เหมือนกัน
- ระวังการใช้ในผู้ป่วยที่มีการทำงานของตับและไตบกพร่อง
- เป็นยาที่ใช้ในสถานพยาบาลเท่านั้น
ผู้ป่วยกลุ่มสีแดง
ผู้ป่วยจะได้รับยาเรมเดซิเวียร์ (Remdesivir) ซึ่งเป็นยาที่ใช้กันมากในต่างประเทศได้แก่ สหรัฐอเมริกา และอินเดีย เป็นยาฉีด
กลุ่มผู้ป่วยที่จะได้รับยาเรมเดซิเวียร์
- ผู้ป่วยกลุ่มสีแดง ที่มีอาการหนัก ไม่รู้สึกตัว กินยาไม่ได้
- ผู้ที่มีระบบดูดซึมไม่ดี
- ผู้ที่ใช้ยาฟาวิพิราเวียร์แล้วร่างกายไม่ตอบสนอง
- หญิงตั้งครรภ์
สรรพคุณของยาเรมเดซิเวียร์
- เป็นยาที่มีฤทธิ์ต้านไวรัสได้อย่างกว้างขวางเหมือนกับยาฟาวิพิราเวียร์ -มีประสิทธิภาพดีต่ออาร์เอนเอ RNA ไวรัสหลายชนิดรวมถึงไวรัสก่อโรคอีโบลาและโคโรนาไวรัสชนิดต่าง ๆ ในกรณีของโคโรนาไวรัสนั้น ผลการศึกษาในหลอดทดลองพบว่ายาเรมเดซิเวียร์มีฤทธิ์ยับยั้งไวรัสโรคซาร์ส (SARS-CoV), ไวรัสโรคเมอร์ส (MERS-CoV) และไวรัสโควิด-19 (SARS-CoV-2)
- ยับยั้งการเพิ่มจำนวนไวรัส
- นอกจากนี้ยายังทำให้เกิดการสร้างสารพันธุกรรมอาร์เอนเอของไวรัสที่ผิดปกติและทำให้ไวรัสตาย คาดว่ายานี้มีกลไกการออกฤทธิ์อย่างอื่นอีกรวมถึงอาจออกฤทธิ์ในขั้นตอนยับยั้งไวรัสไม่ให้เข้าสู่เซลล์ในร่างกายคน
ผลข้างเคียงของยาเรมเดซิเวียร์
- อาจทำให้ตับทำงานหนัก จนเกิดภาวะตับอักเสบ
- ส่งผลให้ความดันเลือดต่ำ
- คลื่นไส้ อาเจียน
- เหงื่อออก
ยารักษา COVID-19 กลุ่มอาการหนัก
ยาชนิดอื่นที่แพทย์ใช้ในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการหนัก
- คอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids)
เป็นยาลดอาการอักเสบในกลุ่มสเตียรอยด์ องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ประกาศข้อแนะนำให้ใช้ร่วมกับยากดภูมิคุ้มกัน เพื่อลดความเสี่ยงในการเสียชีวิต กรมการแพทย์กำหนดแนวทางในการใช้ยาคอร์ติโคสตียรอยด์ ในกลุ่มผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการรุนแรง โดยอาจใช้ร่วมกับยาฟาวิพิราเวียร์,ยาโลพินาเวียร์และริโทนาเวียร์ - โลพินาเวียร์และริโทนาเวียร์ (Lopinavir / Ritonavir)
เป็นยาต้านไวรัส HIV สูตรผสม ระหว่างโลพินาเวียร์และริโทนาเวียร์ กรมการแพทย์กำหนดแนวทางการให้ยา 2 ตัวนี้ ร่วมกับยาฟาวิพิราเวียร์ สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการปอดอักเสบรุนแรง

